92% เห็นด้วย
ร่าง พ.ร.บ. ประชามติ (วาระ 1)
ร่างพ.ร.บ.ประชามติฯ ที่เสนอโดยคณะรัฐมนตรี มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดวิธีการออกเสียงประชามติตามรัฐธรรมนูญ โดยแบ่งออกเป็นการทำประชาชนเกี่ยวกับการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดไว้ ซึ่งในรัฐธรรมนูญ มาตรา 256 (8) กำหนดว่า กรณีที่มีการแก้บทบัญญัติใน หมวด 1 บททั่วไป หมวด 2 พระมหากษัตริย์ หมวด 15 การแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญ หรือบทบัญญัติอื่นๆ ในเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติหรือลักษณะต้องห้ามของผู้ดำรงตำแหน่งตามรัฐธรรมนูญ เรื่องที่เกี่ยวกับหน้าที่หรืออำนาจของศาล องค์กรอิสระ หรือเรื่องที่ทำให้ศาลหรือองค์กรอิสระไม่อาจปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ได้ ต้องจัดทำประชามติ
กับอีกกรณีคือ การออกเสียงประชามติเมื่อคณะรัฐมนตรีเห็นว่ามีเหตุอันสมควร โดยไม่ได้มีการระบุขอบเขตของเรื่องไว้ว่าจะทำได้ในกรณีใดบ้าง แต่ในรัฐธรรมนูญ มาตรา 166 ได้กำหนดว่า กรณีที่มีเหตุอันสมควร คณะรัฐมนตรีจะขอให้มีการออกเสียงประชามติในเรื่องใดที่ไม่ขัดหรือแย้งต่อรัฐธรรมนูญหรือเรื่องที่เกี่ยวกับตัวบุคคลหรือคณะบุคคลใดก็ได้ ดังนั้นการจัดทำประชามติที่ริเริ่มโดยคณะรัฐมนตรี จึงต้องเป็นเรื่องที่ไม่ขัดต่อรัฐธรรมนูญด้วย
97% เห็นด้วย
ร่าง พ.ร.บ. หอการค้า (วาระ 1)
ร่าง พ.ร.บ.หอการค้า มีการแก้ไขเพิ่มเติมอำนาจหน้าที่ของหอการค้าโดยเพิ่มหน้าที่ในการจัดทำและรับรองเอกสารที่ใช้ในทางการค้าระหว่างประเทศ การรับรองลายมือชื่อของบุคคลในเอกสาร การจัดตั้งศูนย์ไกล่เกลี่ยและประนอมข้อพิพาททางการค้า และการทำความตกลงหรือความร่วมมือกับทางราชการหรือหน่วยงานของรัฐ อีกทั้ง ยังกำหนดให้การเลิกหอการค้าต้องกระทำโดยมติของที่ประชุมใหญ่และต้องใช้เสียงไม่น้อยกว่า 3 ใน 4 ของสมาชิกทั้งหมด
96% เห็นด้วย
ร่าง พ.ร.บ.กสทช. (วาระ 3)
ร่าง พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่และกำกับการประกอบกิจการวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ ร่าง พ.ร.บ.กสทช. ได้แก้ไขคุณสมบัติของคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจกาจโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคม หรือ กสทช. ว่า ต้องไม่เคยได้รับโทษจำคุกโดยคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก เว้นแต่เป็นความผิดอันได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
นอกจากนี้ยังขยายสิทธิการสมัครรับคัดเลือกเป็นกสทช. ให้กับบรรดาผู้พิพากษา ข้าราชการตำรวจ-ทหาร และข้าราชการพลเรือน แต่ในขณะเดียวกันก็ตัดสิทธิผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการคุ้มครองผู้บริโภคหรือส่งเสริมสิทธิและเสรีภาพของประชาชนออก และยังเพิ่มเงื่อนไขสำหรับผู้ที่มีประสบการณ์ด้านการบริหารกิจการกระจายเสียงด้วยว่าต้องมีประสบการณ์ไม่น้อยกว่า 20 ปี เป็นต้น
79% เห็นด้วย
แก้ รธน. ฉบับที่ 1 ตั้ง สสร. เสนอโดยเพื่อไทย (โหวต 7 ฉบับ) (วาระ 1)
ร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับที่หนึ่ง เสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน เสนอแก้ไขมาตรา 256 เพิ่มหมวดว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จำนวน 200 คน ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งโดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง ภายใต้เงื่อนไขต้องดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 120 วันหลังจากเลือกตั้ง สสร. และการจัดทำรัฐูธรรมนูญฉบับใหม่ห้ามแก้ไขหมวดที่ 1 บททั่วไป และ หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญ
88% เห็นด้วย
แก้ รธน. ฉบับที่ 2 ตั้ง สสร. เสนอโดยฝ่ายรัฐบาล (โหวต 7 ฉบับ) (วาระ 1)
ร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับที่สอง เสนอโดยพรรคร่วมรัฐบาล เสนอแก้ไขมาตรา 256 เพิ่มหมวดว่าด้วยการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ โดยให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) จำนวน 150 คน ที่มาจากการเลือกตั้งแบบแบ่งเขตเลือกตั้งโดยใช้จังหวัดเป็นเขตเลือกตั้ง และอีก 50 คนมาจากการคัดเลือกของรัฐสภ า ที่ประชุมอธิการบดี และนักเรียน นิสิต นักศึกษา ภายใต้เงื่อนไขต้องดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ให้แล้วเสร็จภายใน 240 วันหลังจากเลือกตั้ง สสร. และการจัดทำรัฐูธรรมนูญฉบับใหม่ห้ามแก้ไขหมวดที่ 1 บททั่วไป และ หมวดที่ 2 พระมหากษัตริย์ ของรัฐธรรมนูญ
29% เห็นด้วย
แก้ รธน. ฉบับที่ 3 ยกเลิกอำนาจ ส.ว. ปฏิรูปประเทศ (โหวต 7 ฉบับ) (วาระ 1)
ร่างแก้รัฐธรรมนูญฉบับที่สาม เสนอโดยพรรคร่วมฝ่ายค้าน เสนอให้ยกเลิกมาตรา 270 และ 271 หรือยกเลิกสมาชิกวุฒิสภาที่มาจากการสรรหาและคัดเลือกโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติและยกเลิกอำนาจในการเร่งรัดติดตามการปฏิรูปประเทศตามแผนปฏิรูปประเทศที่คณะกรรมการซึ่งมาจากคณะรัฐมนตรีที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นคนแต่งตั้ง รวมถึงยกเลิกช่องทางการออกกฎหมายแบบพิเศษที่เรียกว่า "กฎหมายปฏิรูป"